1. SistaCafe
  2. 5 ส่วนผสมที่ต้องมองหาในสกินแคร์ลดริ้วรอยสำหรับคนวัย 30+

พอเราอายุสามสิบจะเกิดอะไรขึ้นกับผิวของเรา? จากผิวที่เคยเรียบเนียน แน่นตึง อยู่ๆก็เหมือนโดนสับสวิตซ์ พลิกกลายเป็นผิวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยไปโดยไม่รู้ตัวซะอย่างนั้น วันนี้ซิสพามาทำความรู้จักกับส่วนผสม 5 ตัวที่ต้องมองหาในสกินแคร์ Anti aging เพื่อช่วยลดการเกิดริ้วรอยและความเหี่ยวย่น จะมีตัวไหนบ้างและแต่ละตัวมีหน้าที่สำคัญอะไรที่จะช่วยกอบกู้ผิวคนวัยสามสิบอัพอย่างเราๆ ให้กลับมาเปล่งปลัง มาดูไปพร้อมๆ กับ

https://sistacafe.com/

กันได้เลยจ้า



5 ส่วนผสมที่ต้องมองหาในสกินแคร์ลดริ้วรอยสำหรับคนวัย 30+

1. Retinol

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F96324%2Fcdfdb10c-f037-4545-85ac-8a0fb29b0e26.jpeg?v=20240306173218&ratio=1.000

ถ้าพูดถึงส่วนผสมที่ช่วยเรื่องต้านริ้วรอย แน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือเรตินอลนั่นเอง ด้วยความที่คุณสมบัติเค้าโดดเด่นด้านนี้สุดๆ ซึ่งก็คือการที่เรตินอลจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน พร้อมทั้งช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่สลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เมื่อผิวมีคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ผิวที่เหี่ยวคล้อยก็จะกระชับขึ้น ดังนั้นเรตินอลจึงมีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอยด้วย นอกจากนั้นก็ยังเร่งวงจรผลัดเซลล์ผิว (Cell cycle) คือทำให้เซลล์ผลัดจากล่างขึ้นบนเร็วขึ้น เลยช่วยให้เซลล์ใหม่ที่สุขภาพดีกว่าขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่าๆ ด้านบน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น  รวมทั้งยังช่วยลดการอุดตันรูขุมขนด้วย


กลุ่มเรตินอยด์

นอกจากเรตินอลที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเรตินอยด์แล้ว จริงๆ เค้าก็ยังมีหลายฟอร์มด้วยกันที่เราอาจจะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ตัวที่ได้ยินกันบ่อยๆ ก็จะมี Retinoic acid, Retinyl Esters, Retinol, และ Retinal ซึ่งเค้าก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป วันนี้ซิสลิสต์ไว้มาเป็นข้อๆ ให้เข้าใจกันง่ายๆ มาดูกันเลย

Retinoic acid ตัวนี้เค้าจะจัดเป็นยา ประสิทธิภาพตัวนี้ดีมากแต่ก็มีผลข้างเคียงค่อนมากตามมาด้วยและที่สำคัญคือจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้นะ

Retinyl Esters จะอ่อนโยนกว่าตัวอื่นๆ แต่ประสิทธิภาพก็จะน้อยกว่าตัวอื่นเช่นกัน

Retinol เป็นตัวที่เราจะเห็นบ่อยมากกว่าตัวอื่นเพราะเรตินอลจะนิยมนำใช้ในสกินแคร์มากที่สุด และมีงานวิจัยรับรองมากที่สุด ที่เราเห็นว่าสกินแคร์ส่วนใหญ่จะใช้ในฟอร์ม Retinol มากกว่า นั่นก็เพราะข้อดีก็คือการอยู่ในฟอร์ม Retinol ก็จะทำให้การระคายเคืองน้อยลงตามไปด้วย

Retinal ตัวนี้ประสิทธิภาพดีเช่นกันค่ะแต่เวลาใส่ในสกินแคร์เค้าจะไม่ค่อยเสถียร ทำให้เก็บยากและเสื่อมประสิทธิภาพเร็ว ผลข้างเคียงก็มากกว่า Retinol อีกด้วย

การใช้เรตินอลสำหรับมือใหม่:

ถ้าไม่เคยใช้เรตินอลเลยให้เราเริ่มจากใช้ตัวที่มีเปอร์เซ็นน้อยๆ ก่อน อาจจะเลือกความเข้มข้นอยู่ที่ 0.1 - 0.2%ส่วนระยะความถี่ในการใช้ ก็ให้ใช้วันเว้นวันไปก่อนซัก 2 - 3 อาทิตย์ ถ้าใช้แล้วผิวไม่ลอก ไม่แสบ แล้วค่อยปรับมาเป็นใช้ทุกวันได้เรตินอลแนะนำว่าใช้แค่ตอนกลางคืน เพราะเค้าจะทำให้ผิวเราเซนซิทีฟต่อแสงแดดมาก ฉะนั้นตอนช่วงกลางวันเราก็ต้องทากันแดดเป็นประจำเวลาจะทาก็ให้เราทาหลังจากมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยลดการระคายเคืองผิว ถ้ายังระคายเคืองอยู่ก็สามารถทามอยส์เจอไรเซอร์ทับอีกรอบได้เช่นกันเลี่ยงการใช้กับกลุ่มผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA BHA เพราะเรตินอลก็ช่วยผลัดเซลล์ผิวอยู่แล้วการใช้ AHA BHA อาจจะทำให้ระคายเคืองมากขึ้น

2. Bakuchiol


ริ้วรอย สิว และผิวที่ลอกเป็นขุ่ยเกิดจากการที่ผิวของเราขาดน้ำ การช่วยผิวเติมเซราไมด์หรือไลปิดในชั้นผิวที่หายไป จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพผิวโดยรวมดูดีขึ้นและแน่นอนว่านุ่มชุ่มชื้น

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F96324%2Fc89fcd3d-a766-45e3-b8ff-cda99ab458b4.jpeg?v=20240306173218&ratio=1.000

สำหรับใครที่ใช้ Retinol แล้วรู้สึกว่ายังแรงเกินไป

Bakuchiol

ตัวนี้คือทางออกค่ะ เพราะคุณสมบัติเค้าจะคล้ายๆ กับเรตินอลเลยแต่จะแตกต่างตรงที่จะไม่ระคายเคืองผิวเท่าและผลข้างเคียงอย่างเช่น รอยแดงหรือลอกเป็นขุยก็จะน้อยกว่าเรตินอลด้วย



Bakuchiol เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้มาจากเมล็ด ของ Psoralea corylifolia หรือเรียกชื่อสั้นๆ ว่า Babchi ความโดดเด่นของเค้าคือ Bakuchiol จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้พวกเส้นริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นให้ตื้นขึ้น เรียบเนียนขึ้น ช่วยต้านการอักเสบและปลอบประโลมผิว นอกจากนี้ก็ยังช่วยต่อต้านความแก่ เช่น ริ้วรอยและผิวไม่กระชับ


นอกจากช่วยเรื่อง Anti Aging แล้ว เราอาจจะเคยเห็น Bakuchiol ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสิว มีhttps://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33683079/ที่ได้ผลลัพธ์ว่าเจ้า Bakuchiol ที่ความเข้มข้น 0.5 % จะช่วยรักษาผิวอักเสบและช่วยลดรอยจากสิว และนักวิจัยสรุปว่า Bakuchiol อาจใช้ได้ผลกับสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็ยังต้องฟังหูไว้หูและยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพราะงานวิจัยนี้มีผู้เข้าร่วมการทดลองเพียง 13 คนเท่านั้น


วิธีใช้ Bakuchiol :

หลังจากทำความสะอาดและเช็ดผิวหน้าให้แห้ง เราก็จะใช้สกินแคร์ที่มี Bakuchiol แล้วค่อยตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ แต่ถ้าเราเป็นคนผิวแพ้ง่ายเป็นพิเศษหรือเป็นคนผิวแห้ง ก็ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อน Bakuchiol ได้ ก็จะช่วยป้องกันการระคายเคืองได้อีกทาง

เราสามารถใช้ Bakuchiol ได้ 2ครั้ง/วัน 1 ครั้งตอนกลางคืนและ1 ครั้งตอนเช้า ขึ้นอยู่กับว่าผิวของทนได้ดีแค่ไหน ถ้าผิวเราโอเค ทนไหวก็สามารถใช้ทุกวันได้เลย แต่ถ้าใช้แล้วรู้สึกแสบร้อน แดง หรือแห้ง ก็ให้ลดความถี่ที่ใช้ลง

เนื่องจาก Bakuchiol เองก็ช่วยเรื่องกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ก็อย่าลืมที่จะทาครีมกันแดดในตอนเช้าเพื่อปกป้องผิวด้วยนะคะ


Resveratrol เป็นสารที่พบมากในองุ่น สามารถช่วยเร่งการสังเคราะห์ Collagen IV และให้ผิวสามารถต่อต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถลดริ้วรอย ปรับสีผิวให้สว่างใส ให้ผิวนุ่มและกระชับ (firm & smooth) อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบต่างๆบนผิว


3. Ceramide

อนุมูลอิสระคือโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งไม่มีอิเล็กตรอน


โมเลกุลที่ไม่เสถียรเหล่านี้สร้างขึ้นจากกระบวนการปกติของร่างกาย เช่น การย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังผลิตขึ้นเมื่อคุณเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ รังสี ควันบุหรี่ และอื่นๆ อีกมากมาย


ตามทฤษฎีอนุมูลอิสระของความชรา อนุมูลอิสระมีหน้าที่สร้างการอักเสบและทำให้ร่างกายของคุณแก่ก่อนวัย รวมทั้งผิวหนังของคุณด้วย โมเลกุลที่ไม่เสถียรเหล่านี้จะไปขโมยอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่นๆ ซึ่งทำลายเซลล์ปกติในกระบวนการนี้3


สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอนุมูลอิสระ พวกเขาทำความสะอาดอนุมูลอิสระโดยการบริจาคอิเล็กตรอน โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นการปิดการทำงานของอนุมูลอิสระและป้องกันไม่ให้เซลล์เสียหาย1To get a full understanding of antioxidants, you also have to understand free radicals. Free radicals are unstable molecules that are missing an electron.These unstable molecules are created through normal body processes like digestion. They are also produced when you're exposed to excess sun, pollution, radiation, cigarette smoke, and more.According to the free radical theory of aging, free radicals are responsible for creating inflammation and prematurely aging your body, including your skin. These unstable molecules go around stealing an electron from other molecules, damaging healthy cells in the process.3Antioxidants are the foil opposites of free radicals. They clean up free radicals by donating an electron. This essentially deactivates the free radical and prevents it from damaging cells.1

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F96324%2Fd33559ec-b052-4fef-bd75-bfaa679ce0fa.jpeg?v=20240306173218&ratio=1.000

ปกติแล้ว

ผิวของเราจะประกอบไปด้วยเซราไมด์ (Ceramide)ที่เป็นไขมันธรรมชาติมากถึงราวๆ 47% ของผิว ซึ่งเซราไมด์ก็จะทำหน้าที่คล้ายกับปูนที่จะช่วยยึดเซลล์ผิวให้อยู่ติดกัน เสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแข็งแรงเหมือนกำแพงที่ฉาบปูน และช่วยป้องกันอันตรายจากภายนอก

เมื่อเวลาผ่านไปเซราไมด์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในตัวเราสามารถลดลงได้ จากปัจจัยต่างๆ อย่างเช่นอายุที่เพิ่มขึ้น หรือการเผชิญแสงแดดและมลภาวะในแต่ละวัน


โดยปกติแล้วเซราไมด์จะทำงานร่วมกับคอลลาเจนที่มีอยู่ที่ผิวชั้นหนังแท้ ( Dermis ) เพื่อช่วยเติมเต็มเซลล์ผิวชั้นหนังแท้ให้มีความยืดหยุ่น กระชับ ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง ช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้สุขภาพผิวโดยรวมดูดีขึ้นและแน่ผิวก็นุ่มชุ่มชื้นขึ้นและนอกจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิวจะเป็นต้นเหตุของผิวหย่อนคล้อยอย่างที่หลายๆ คนรู้กันอยู่แล้ว ถ้าหากเราขาด เซราไมด์ ไปอีก แสดงว่าเราก็จะขาดส่วนผสมที่สามารถช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่ผิวไป ซึ่งริ้วรอยก่อนวัยก็สามารถเกิดได้จากการที่ชั้นผิวของเราอ่อนแอได้ด้วยเช่นกันวิธีใช้เซราไมด์ :เซราไมด์จะใช้แล้วดีที่สุดเมื่อเราใช้ทันทีหลังอาบน้ำเพราะเค้าจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้เป็นอย่างดีหรือเราจะใช้ก่อนนอนก็ได้เช่นกัน ซิสแนะนำว่าใช้เซราไมด์วันละ 2 ครั้ง ได้ทั้งเช้าและเย็นเลยถ้าเป็นช่วงกลางคืนก็ให้ทำความสะอาดผิวให้เรียบร้อย ตามด้วยโทนเนอร์และเซรั่ม และเก็บมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ไว้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ส่วนถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ให้ใช้เป็นตัวสุดท้ายก่อนจะลงกันแดด


4. Antioxidant

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F96324%2Fe631899c-86ed-4436-8afd-f89bec9426fa.jpeg?v=20240306173218&ratio=1.000

ร่างกายของคนเราจะเกิดการเสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลาจากปฏิกิริยา Oxidation ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพปฏิกิริยานี้ง่ายๆ ก็เหมือนกับการที่เราปอกเปลือกแอปเปิลทิ้งไว้ พอผ่านไปไม่นานแอปเปิลเปลี่ยนสีจากเนื้อสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาล ก็จะเทียบได้กับการที่ร่างกายเราเสื่อมสภาพเพราะปฏิกิริยานี้เองเช่นกัน ซึ่งกระบวนการนี้ก็จะเกิดขึ้นในร่างกายของเราจากกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำในชีวิตประจำวัน เช่น การย่อยอาหาร ตอนออกไปเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ รังสี ควันการสูบบุหรี่ กิจกรรมเหล่านี้ก็จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายผลิต สารอนุมูลอิสระออกมา



อนุมูลอิสระ คือ โมเลกุลที่ไม่เสถียร และมันก็จะพยายามไปยื้อแย่งอิเล็กตรอนกับโมเลกุลอื่นๆ ต่อเป็นทอดๆ ทีนี้มันก็จะส่งผลให้เซลล์ของเราเสื่อมสภาพ แก่ก่อนวัย ผิวเหี่ยวย่น รวมทั้งทำให้คอลลาเจน (Collagen) และเส้นใยอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิวของเราจะถูกทำลาย ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ไม่คงตัว เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้น



และพระเอกที่จะมาช่วยกอบกู้ผิวเราจากการเสื่อมสภาพนี้ก็คือสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti oxidant)ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอนุมูลอิสระ เพราะเค้าจะช่วยชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่จะเกิดขึ้นในชั้นผิว โดยการช่วยบริจาคอิเล็กตรอน ทำให้โมเลกุลของอนุมูลอิสระเสถียรแทน ป้องกันไม่ให้เซลล์เสียหายโดยปกติแล้วเนี่ยเพื่อป้องกันไม่ให้ออกซิเดชั่นทำร้ายเซลล์ปกติในร่างกาย ร่างกายมนุษย์จะมีการผลิตสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่ผลิตขึ้นตามธรรมชาติไม่เพียงพอ ก็เลยจำเป็นต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างเช่นจากการทานวิตามิน หรือการใช้สกินแคร์ที่มี (Anti oxidant) มาเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติม


สารต้านอนุมูลอิสระที่เราพบเห็นในสกินแคร์อยู่บ่อยๆ ตัวอย่างเช่น


เรสเวอราทรอล (Resveratrol)

จะเป็นสารที่พบมากในองุ่น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไทป์ IV ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ปรับสีผิวให้สว่างใส ให้ผิวนุ่มและกระชับ



วิตามินซี

จะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวเต่งตึง ช่วยชะลอริ้วรอย ทำให้ผิวขาวใสเปล่งปลั่ง



วิตามินอี

จะช่วยปกป้องผิวด้วยการชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเรา ที่เป็นต้นเหตุของริ้วรอย



สารสกัดจากชาเขียว

มีสารคาเทชินที่จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย ชะลอการเกิดริ้วรอย



วิธีใช้:


เดี๋ยวนี้สกินแคร์ไม่ว่าจะเซรั่ม โทนเนอร์ ครีม หรือแบบเจล ก็ล้วนจะใส่ Antioxidant เป็นส่วนผสมกันทั้งนั้น ทีนี้วิธีใช้เค้าก็จะง่ายมากเลยค่ะ เพียงแค่เราเอาสกินแคร์ทุกตัวที่เรามีอยู่ออกมาเรียงตาม Texture จากเนื้อบางไปเนื้อหนักที่สุด แล้วเวลาจะทาสกินแคร์ก็มาไล่เลเยอร์ตามนี้ได้เลย ตัวไหนเนื้อเบาสุดก็ทาก่อนแล้วค่อยตามด้วยตัวที่เนื้อหนักกว่าไปเรื่อยๆ จนครบ



5. Niacinamide

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F96324%2F6573e51c-8d73-42f7-a7ed-368a450bab20.jpeg?v=20240306173218&ratio=1.000

ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามิน B3

อาจไม่เป็นที่ฮือฮาเท่าส่วนผสมอย่างเรตินอลและวิตามินซี แต่ก็เป็นส่วนผสมที่อยากเอามาแนะนำไม่แพ้กัน เพราะเค้าคือคำนิยามของ Multitasking skills ทั้งเป็นมิตรกับทุกสภาพผิว และสามารถดูแลปัญหาผิวได้ครอบคลุม  เช่น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการระคายเคือง กระชับรูขุมขน ลดความมัน ลดรอยสิว หรือแม้แต่ลดเลือนริ้วรอยก็สามารถช่วยได้ค่ะ



ไนอะซินาไมด์เค้าเป็นวิตามินที่ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์เองได้ แต่อาจจะไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายได้มากพอ เพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ก็เลยมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอาหารเสริมบำรุงร่างกายมาทดแทน



เวลาไนอะซินาไมด์ซึมเข้าสู่ผิวหนัง ไนอะซินาไมด์เค้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นโมเลกุลขนาดเล็กชื่อว่า NADPH ทำหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพพร้อมกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซราไมด์  อิลาสติน และคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย ช่วยให้ผิวนุ่มเรียบเนียน ชุ่มชื้น และช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง



จากเหตุผลด้านบนเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ Niacinamide ได้รับความนิยมมากในการนำมาเป็นส่วนผสมในสกินแคร์ แถมยังเรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายๆ ยี่ห้อเลยค่ะ ตัวอย่างหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนรู้จักกันดีก็คือ CeraVe นั่นเอง



วิธีการใช้ไนอะซินาไมด์:เซรั่ม เนื่องจากเซรั่มไนอาซินาไมด์ส่วนใหญ่เบสจะเป็นน้ำ ให้ทาหลังจากล้างหน้าและลงโทนเนอร์ ก่อนลงเซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีพวกน้ำมันเป็นส่วนประกอบมอยส์เจอไรเซอร์ ให้ใช้หลังจากล้างหน้า ลงโทนเนอร์ และเซรั่ม แต่ต้องทาก่อนลงครีมกันแดดและเมคอัพระวังอย่าใช้ผลิตภัณฑ์ไนอาซินาไมด์พร้อมกับผลิตภัณฑ์วิตามินซี เพราะไนอาซินาไมด์อาจจะไปทำให้วิตามินซีมีประสิทธิภาพน้อยลงข้อดีของไนอาซินาไมด์คือเค้ามีผลข้างเคียงน้อยมาก และโดยทั่วไปแล้วปลอดภัยสำหรับคนผิวบอบบาง แต่ถ้าเราเป็นคนผิวแพ้ง่ายมากจริงๆ ก็ให้ลองทดสอบก่อนใช้ด้วยการทาบนท้องแขนก่อนได้ค่ะ แล้วสังเกตุว่ามีผื่นแดง มีตุ่ม หรือมีอาการคันเกิดขึ้นไหม หรือาจจะมีบางกรณีที่ใช้ไนอาซินาไมด์แล้วเป็นสิว ถ้าหากสิวยังไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ ก็ให้หยุดใช้ เพราะเป็นไปได้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดจากการแพ้ได้เหมือนกัน

- - - - - - - - - - - - - - -

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับ

5 ส่วนผสมที่ช่วยลดริ้วรอยสำหรับชาววัยสามสิบ

ต้องบอกก่อนว่าไม่จำเป็นที่สกินแคร์ 1 ตัว ต้องมีครบทั้ง 5 ส่วนผสมนี้เลยนะคะ แต่ถ้าเราเลือกสกินแคร์มาแล้วมีซัก 2-3 ส่วนผสมตามในบทความก็ถือว่าเริ่ด เบาใจว่าช่วยฟื้นคืนสภาพร่องรอยแห่งไวได้ แต่สุดท้ายแล้วถ้าประโคมทาเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าผิวดีขึ้น อันนี้อาจจะต้องปรึกษาคุณหมอควบคู่ไปด้วยเพราะบางทีแค่การทาสกินแคร์ก็อาจจะยังไม่เพียงพอนั่นเองค่ะ



- - - - - - - - - - - - - - -

:kidasindahouse

Writer:

อ่านบทความเพิ่มเติมจากได้ที่นี่https://sistacafe.com/summaries/91004

https://sistacafe.com/summaries/90104

https://sistacafe.com/summaries/91617

https://sistacafe.com/summaries/91882

https://sistacafe.com/summaries/90156

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้